พัฒนาชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ประวัติส่นตัว
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : นาย จิณณวัตร ทันใจ ชื่อเล่น เนส
วัน เดือน ปี เกิด : 17 มิถุนายน 2533 อายุ 22 ปี
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยม : จากโรงเรียนวิเศษไชยชาญ ตันติวิทยาภูมิ
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะมนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ สาขา การพัฒนาชุมชน
และสังคมศาสตร์ สาขา การพัฒนาชุมชน
คติประจำใจ : เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
ที่อยู่ปัจจุบัน : 38 หมู่4 ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ จ. อ่างทอง 14110
เบอร์โทรศัพท์ : 0898010742 email : jinnawat_netza@hotmail.com
ผลไม้สุดโปรด : กล้วย องุ่น อาหารจานโปรด : ไข่เจียวหมูสับ
สีที่ชอบ : สีดำ สีขาว ส่วนสูง 175เซนติเมตร น้ำหนัก 90 กิโลกรัม
สไตล์การแต่งกาย : สบายๆๆๆ
นิสัยส่วนตัว : ร่าเริง อารมณ์ดี ขี้เล่น เป็นกันเอง
รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 14 เดือนกุมพาพันธ์ 2538
รายงานทีดีอาร์ไอ
ฉบับที่ 14 เดือนกุมพาพันธ์ 2538
สังคมสารสนเทศแห่งทศวรรษหน้า
สุเมธ วงศ์พานิชเลิศ*
นิตย์ จันทรมังคละศรี**
คำนำ
สังคมส่วนใหญ่เกือบทุกสังคมในโลก ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม และนับถือศาสนาใด ไม่ว่าจะยังด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหรือพัฒนาแล้วก็ตาม ต่างมีความต้องการในการรับทราบข่าวสาร และต่างต้องพึ่งพาอาศัยข้อมูลสารสนเทศในการดำรงชีวิตประจำวันมากขึ้นๆ ทุกวัน สังคมไทยก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นสังคมไทยยังเป็นสังคม “เปิด” ที่ประชาชนมีความสนใจและมีการบริโภคข่าวสารในอัตราสูง และในปัจจุบันสื่อสารมวลชนก็ยังมีเสรีภาพที่ค่อนข้างจะเต็มเปี่ยม เมื่อเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคใกล้เคียงกับไทย ที่จัดว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่สังคมเปิดของไทยจะยังสมบูรณ์เต็มที่ไม่ได้ หากกลไกของรัฐ ยังไม่สามารถจะขจัดอุปสรรคที่ยังมีเหลืออยู่ให้หมดสิ้นไป เพื่อให้มีการเผยแพร่ข้อมูลทั่วไปของราชการแก่สาธารณชนได้อย่างเปิดเผยและเสรีเต็มที่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ความต้องการในข่าวสารข้อมูลของสังคมไทย มีรากเหง้ามาเป็นเวลาช้านาน แต่กระแสความตื่นตัวดูเหมือนจะมีความเด่นชัดและรุนแรงที่สุดในช่วงพฤษภาทมิฬ ทั้งนี้เบื้องหลังความตื่นตัวในความต้องการ และความสำเร็จของการตอบสนองที่นำไปสู่การรับและแพร่กระจายของข่าวสารข้อมูลอย่างฉับพลันและกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นในรูปของเสียง รูป ข้อความ และภาพเคลื่อนที่ ดังเช่นในขณะนี้คงเป็นไปมิได้ หากมิใช่เพราะวิวัฒนาการของเทคโนโลยีกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology หรือ IT)
เทคโนโลยีสารสนเทศและสังคมสารสนเทศคืออะไร มีโฉมหน้าเช่นใด และจะส่งผลที่ดีหรือเลวอย่างไรต่อวิถีชีวิตของเราในอนาคต?
สารสนเทศและสังคมสารสนเทศในศตวรรษที่ 21
สารสนเทศ (information) ในที่นี้จะมีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ข่าวสาร (news) ข้อมูล (data) สารสนเทศซึ่งเป็นข่าวสารข้อมูลที่มีการวิเคราะห์ ประมวล หรือแปรรูปแล้ว ไปจนถึงวิชาความรู้ (knowledge) ซึ่งคือข้อเท็จจริงที่มีการค้นคว้าได้หลักฐานหรือเหตุผลชัดเจน และจัดเข้าเป็นระเบียบแล้ว
สารสนเทศได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานปัจจัยที่ห้า เพิ่มจากปัจจัยสี่ประการที่มนุษย์เราขาดเสียมิได้ในการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่จำเป็น ในการประกอบธุรกิจ ในการค้าขาย การผลิตสินค้า และบริการ หรือการให้บริการสังคม การจัดการทรัพยากรของชาติ การบริหารและปกครอง จนถึงเรื่องเบา ๆ เรื่องไร้สาระบ้าง เช่น สภากาแฟที่สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เรื่องสาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไปจนถึงเรื่องความเป็นความตาย เช่น ข่าวอุทกภัย วาตภัย หรือการทำรัฐประหารและปฏิวัติ เป็นต้น
ในความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสังคมศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ จนกระทั่งผู้นำต่าง ๆ ในโลก ดังเช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธิบดี Al Gore ของสหรัฐอเมริกา สารสนเทศเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน และในยุคสังคมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21 สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด กล่าวกันสั้น ๆ สารสนเทศกำลังจะกลายเป็นฐานแห่งอำนาจอันแท้จริงในอนาคต ทั้งในทางเศรษฐกิจ และทางการเมือง
ในสมัยสังคมเกษตรนั้น ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน และทุนทรัพย์ ต่อมาในสังคมอุตสาหกรรม การผลิตต้องพึ่งพาปัจจัยพื้นฐานเพิ่มเติม ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด อันได้แก่ ที่ดิน พลังงาน และวัสดุ เป็นอย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างฟุ่มเฟือยและขาดความระมัดระวัง ก็ได้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมาก ซึ่งกำลังคุกคามโลกรวมทั้งประเทศไทย ตั้งแต่ปัญหาการแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ภัยธรรมชาติที่นับวันจะเพิ่มความถี่และรุนแรงขึ้น ปัญหาการบ่อนทำลายความสมดุลทางนิเวศวิทยาทั้งป่าดงดิบ ป่าชายเลน ป่าต้นน้ำลำธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ แม่น้ำลำคลองที่เต็มไปด้วยสารพิษเจือปน ตลอดจนถึงปัญหาวิกฤติทางจราจรและภัยจากควันพิษในมหานครทุกแห่งทั่วโลก
ในทางตรงกันข้าม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและพลังงานน้อยมาก และไม่มีผลเสียต่อภาวะแวดล้อมหรือมีเพียงเล็กน้อยมาก ยิ่งกว่านั้นสารสนเทศจะสามารถช่วยให้กิจกรรมการผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้การผลิตทางอุตสาหกรรมใช้วัตถุดิบ และพลังงานน้อยลง มีมลภาวะน้อยลง แต่สินค้ามีคุณภาพดีขึ้นคงทนมากขึ้น ปัญหาวิกฤติทางจราจรในบางด้านก็สามารถผ่อนปรนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ในการช่วยติดต่อสื่อสารทางธุรกิจต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยตนเองดังเช่นแต่ก่อน จึงอาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีส่วนอย่างมาก ในการนำสังคม สู่วิวัฒนาการอีกระดับหนึ่ง ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสังคมสารสนเทศ อันเป็นสังคมที่พึงปรารถนาและยั่งยืนยิ่งขึ้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าสังคมต่าง ๆ ในโลก ต่างจะต้องก้าวสู่สังคมสารสนเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เร็วก็ช้า และนั่นหมายความว่าสังคมจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม มิใช่เพียงแต่เพื่อสร้างขีดความสามารถในเชิงแข่งขันในสนามการค้าระหว่างประเทศ แต่เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกต่างหากด้วย
เทคโนโลยีสารสนเทศคือ เทคโนโลยีคู่โลกในต้นศตวรรษที่ 21 และเป็นแรงกระตุ้นและเป็นปัจจัยรองรับ ขบวนการโลกาภิวัตน์ ที่กำลังผนวกสังคมเศรษฐกิจไทยเข้าเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับสังคมโลก
อันที่จริงเทคโนโลยีสารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เป็นต้นว่า เรามีการใช้โทรศัพท์ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2414เพียงแต่ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้ยังไม่แพร่กระจายทั่วประเทศและยังไม่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศในโลก
กล่าวกันอย่างสั้น ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา วิเคราะห์ ประมวล จัดการและจัดเก็บ เรียกใช้หรือแลกเปลี่ยน และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรูป เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการนำสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติตามเนื้อหาของสารสนเทศนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้
การจัดหา วิเคราะห์ ประมวล และจัดการกับข่าวสารข้อมูลจำนวนมหาศาล จึงขาดเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เสียมิได้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีโทรคมนาคม และท้ายสุดสารสนเทศที่มี จะก่อให้เกิดประโยชน์จากการบริโภค อย่างกว้างขวางตามแต่จะต้องการและอย่างประหยัดที่สุด ก็ต้องอาศัยทั้งสองเทคโนโลยีข้างต้นในการจัดการและการสื่อหรือขนย้ายจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศ สู่ผู้บริโภคในที่สุด
ฉะนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศจึงครอบคลุมถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลัก อันได้แก่ คอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล โทรคมนาคมซึ่งรวมถึง เทคโนโลยีระบบสื่อสารมวลชน (ได้แก่ วิทยุ และโทรทัศน์) ทั้งระบบแบบมีสายและไร้สาย รวมถึงเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีโทรทัศน์ความคมชัดสูง (HDTV)ดาวเทียมคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแก้วนำแสง (fibre optics) สารกึ่งตัวนำ (semiconductor) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อุปกรณ์อัตโนมัติสำนักงาน (office automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในโรงงาน (factory automation) เหล่านี้ เป็นต้น
นอกจากการเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ทำลายธรรมชาติหรือสร้างมลภาวะ (ในตัวของมันเอง) ต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว คุณสมบัติโดดเด่นอื่น ๆ ที่ทำให้มันกลายเป็นเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์สำคัญแห่งยุคปัจจุบันและในอนาคตก็คือ ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถภาพในเกือบทุก ๆ กิจกรรม อาทิโดย 1. การลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย 2. การเพิ่มคุณภาพของงาน และ 3. การสร้างกระบวนการหรือกรรมวิธีใหม่ ๆ หรือ 4. การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ขึ้น ฉะนั้น โอกาสและขอบเขตการนำ เทคโนโลยีนี้มาใช้ จึงมีหลากหลายในเกือบทุก ๆ กิจกรรมก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การให้บริการสังคม การผลิตทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมถึงการค้าทั้งภายในและระหว่างประเทศอีกด้วย โดยพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
ภาคสังคม: การบริหารและปกครอง การให้บริการพื้นฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข การบริการการศึกษา การให้บริการข้อมูลและสารบันเทิง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การบรรเทาสาธารณภัย การพยากรณ์อากาศและอุตุนิยม ฯลฯ
ภาคเศรษฐกิจ: การเกษตร การป่าไม้ การประมง การสำรวจและขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การสำรวจแร่และทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนและใต้ผิวโลก การก่อสร้าง การคมนาคมทั้งทางบก น้ำ และอากาศ การค้าภายในและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมบริการ อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยว การเงิน การธนาคาร การขนส่ง และการประกันภัย ฯลฯ
ในปัจจุบันเศรษฐกิจและสังคมของไทยมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับสังคมโลก ประมาณการว่า ในปี พ.ศ. 2536 การส่งออกมีมูลค่าขยายตัวถึงร้อยละ 12.8 ที่ 920 พันล้านบาท ขณะที่การนำเข้ามีอัตราขยายตัวถึงร้อยละ 12.7 ด้วยมูลค่า 1,150 พันล้านบาท การส่งออกที่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 13.2 ของผลผลิตมวลรวมของประเทศในปี พ.ศ. 2515 ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีขนาดเป็นร้อยละ 37.9 ในปี พ.ศ.2535 ย่อมชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ และในทำนองเดียวกันของ เทคโนโลยีกลุ่มนี้ ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศคือ การอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศจำนวนมากมายนั่นเอง ตั้งแต่การสืบและสอบถามสินค้าและราคา การเจรจาตกลงราคา การหาวัตถุดิบสำหรับการผลิต การว่าจ้างและการรับช่วงผลิต การว่าจ้างขนส่งสินค้า การประกันวินาศภัย การแจ้งหรือการส่งมอบสินค้า และรายละเอียดเที่ยวบินหรือเรือเดินสมุทรที่ขนย้ายสินค้า รวมถึงการดำเนินการทางพิธีการศุลกากร จนถึงการโอนเงินระหว่างประเทศ ฯลฯ การแลกเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมาก ระหว่างองค์กรหลากหลายในแต่ละครั้งของการซื้อขาย จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วด้วยข้อมูลที่แม่นยำ และในอัตรา ค่าบริการที่ต่ำ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในเชิงแข่งขันระหว่างประเทศ
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผลประโยชน์ต่างๆ จากการประยุกต์ใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าว ล้วนเกิดจากคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ ประการของเทคโนโลยีกลุ่มนี้ อันสืบเนื่องจากการพัฒนาของ เทคโนโลยีที่มีอัตราสูงและอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีนี้ส่งผลให้ (1) ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ รวมทั้งค่าบริการ สำหรับการเก็บ การประมวล และการแลกเปลี่ยนเผยแพร่สารสนเทศมีการลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว (2) ทำให้สามารถนำพาอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคมติดตามตัวได้ เนื่องจากได้มีพัฒนาการการย่อส่วนของชิ้นส่วน (miniaturization) และพัฒนาการการสื่อสารระบบไร้สาย และ (3) ประการท้าย ที่จัดว่าสำคัญที่สุดก็ว่าได้คือ ทำให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารมุ่งเข้าสู่จุดที่ใกล้เคียงกัน (converge)
ประเทศอุตสาหกรรมในโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กลุ่มนี้ จึงให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีนี้มากกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จัดเป็นเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์สำคัญอีกหลายกลุ่ม ดังเช่นกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and
Development) ได้ศึกษาเปรียบเทียบ ศักยภาพของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลุ่มสำคัญในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีวัสดุใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสำคัญ 5 ประเด็น ได้แก่ (1) การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ (2) การปรับปรุงกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์และบริการ (3)การยอมรับจากสังคม (4) การนำไปใช้ประยุกต์ในภาค/สาขาอื่น ๆ และ (5) การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการยอมรับในศักยภาพสูงสุดในทุก ๆ ประเด็น
ในสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน มีการศึกษาวิเคราะห์ถึงขีดความสามารถในเชิงแข่งขันเปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่น ในเทคโนโลยีกลุ่มไฮเทคที่สำคัญต่อประเทศ 11 ชนิดด้วยกัน ปรากฏว่า 8 ชนิดจากทั้งหมด 11 ชนิด จัดเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งโดยตรงหรือเป็นส่วนประกอบ จะยกเว้นเพียง 3 ชนิดคือ เวชภัณฑ์ยา เครื่องบิน และวัสดุใหม่เท่านั้น
ประเทศเหล่านี้จึงมีแผนพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างจริงจัง และได้ทุ่มงบประมาณมากมายมหาศาล เพื่อการพัฒนานี้ จึงเป็นที่คาดกันว่าวิวัฒนาการของ เทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการพัฒนาประเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศจัดว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศของทุกประเทศก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะแม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะยังไม่มีบทบาทโดดเด่นในการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและการค้า ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในด้านการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการจัดให้บริการสังคมพื้นฐาน (การศึกษาและ การสาธารณสุข ฯลฯ) ในการบริหารประเทศ และในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
บทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศได้กลายเป็นอุตสาหกรรมผลิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีการประมาณการว่าตลาดโลกสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ โทรคมนาคม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จะมีขนาด 1,600 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1994 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงร้อยละ 20 ต่อปี
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ได้ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจจากการเป็นผู้ผลิตดังกล่าว แต่ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีดังที่กล่าวมา นานาประเทศ ต่างสามารถรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากการเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทั้งสิ้น
ในภาคอุตสาหกรรมผลิตทุกแขนง เทคโนโลยีสารสนเทศไม่เพียงแต่ถูกนำไปใช้โดยตรงในกระบวนการผลิตสินค้าต่าง ๆ ที่ส่งผลให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เป็นต้นว่าการออกแบบและเขียนแบบด้วยคอมพิวเตอร์ (computer-aided design or drafting หรือ CAD) สามารถจะลดความผิดพลาด เพิ่มความแม่นยำ (accuracy)และย่นระยะเวลาการออกแบบได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในงานที่มีองค์ประกอบหรือชิ้นส่วนมาตรฐาน หรือมีการคำนวณ เชิงวิศวกรรมซ้ำซากจำนวนมาก ผลงานออกแบบที่ได้แปรเปลี่ยนจากแบบและข้อมูลบนแผ่นพิมพ์เขียว ไปสู่ข้อมูลในรูปอิเล็กทรอนิกส์นั้น ทำให้การแก้ไข หรือดัดแปลงผลิตภัณฑ์ในภายหลังสามารถทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ที่สำคัญที่สุดเป็นข้อมูลที่สามารถจะเชื่อมโยงป้อนสู่กระบวนการผลิตภายใต้ระบบคอมพิวเตอร์ หรือ computer-aided manufacturing (CAM) ได้ทันที ตั้งแต่อุตสาหกรรมผลิตแม่พิมพ์ เสื้อผ้า รองเท้า จนถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ที่ซับซ้อน เทคโนโลยีนี้ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดเก็บและนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ในด้านการวิจัยและพัฒนา การออกแบบผลิตภัณฑ์ตามรสนิยมของผู้ใช้ การตลาด การบริการหลังการขาย และการจัดการองค์กรและธุรกิจ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
ฉะนั้น การลงทุนในด้านเทคโนโลยีดังกล่าว จึงย่อมส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจของนานาประเทศ จากผลการศึกษาใน 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีทั้งประเทศที่ถือว่าพัฒนาแล้ว พัฒนาใหม่ และกำลังพัฒนา ระหว่างปี 1983 ถึง 1990 พบว่าการลงทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสัมพันธ์ (correlation) กับการเติบโตทาง GDPอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน ในช่วงทศวรรษที่แล้ว หลายประเทศมีความวิตกว่าเทคโนโลยีนี้จะลดการว่าจ้างงาน และทำให้เกิดปัญหาการตกงานอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและในการสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ จนกล่าวได้ว่าในทางสังคมแล้ว เทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มการจ้างแรงงานโดยรวมมากกว่าจะลดตามที่เข้าใจกัน ปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนาต่างเริ่มตระหนักถึง บทบาทของเทคโนโลยีนี้ต่อการพัฒนาสังคมตามประเทศที่พัฒนาแล้ว และเล็งเห็นว่ามันสามารถจะก่อเกิดประโยชน์ต่าง ๆ นานา เป็นต้นว่าเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจะ
ทำให้การบริการที่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐให้แก่ประชาชนมีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้น และต้นทุนต่ำลง
ลดต้นทุนการบริการสาธารณสุขขณะที่เพิ่มปริมาณและคุณภาพของบริการสู่ประชาชนที่ยังไม่ได้รับบริการอย่างทั่วถึง
สร้างโอกาสให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าและทุกวัยได้รับการศึกษาและฝึกอบรมอย่างกว้างขวาง ฯลฯ
เป็นที่ประจักษ์ว่าการใช้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถจะเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ในด้านต่าง ๆ แม้ว่าหากมองเฉพาะในขอบเขตของงานนั้นๆ ระบบคอมพิวเตอร์ อาจจะลดปริมาณการว่าจ้างงานเปรียบเทียบกับเมื่อไม่ใช้เทคโนโลยี แต่หากมองโดยรวมแล้ว การที่เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนสำคัญ ช่วยให้เกิดการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจในอัตราสูง ย่อมส่งผลให้เกิดการสร้างงานที่เพิ่มตามมา ข้อมูลในประเทศสหรัฐฯ ตลอดกว่าศตวรรษที่ผ่านมา พบว่าการจ้างงานมิได้ลดลงจากการใช้เทคโนโลยี เริ่มต้นจากเครื่องจักรไอน้ำจวบจนเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน แต่กลับเพิ่มถึง 10 เท่าตัว จาก12 ล้านคนในปี 1870 เป็น 116 ล้านในปี 1985 คิดเป็นอัตราส่วนจากร้อยละ 31 เป็นร้อยละ48 ของประชากรทั้งหมด
อีกทั้งบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นหรือจะเกิดในอนาคตสืบเนื่องจากเทคโนโลยีนี้ ก็ยังจะนำไปสู่การสร้างงานใหม่ ๆ ตามมามากมายอีกด้วย เป็นต้นว่า ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ว่าบริการโทรคมนาคมไร้สายต่างๆ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศสหรัฐฯ จะสามารถสร้างงานเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนคน ภายในระยะ 10-15 ปีข้างหน้า
บทบาทต่อการให้บริการของรัฐและในด้านการศึกษา
ในด้านการให้บริการจากรัฐแก่ประชาชน อาทิ บริการสาธารณสุข การศึกษา และฝึกอบรม ก็ได้มีตัวอย่าง ที่เห็นผลตอบแทนที่ไม่เป็นเพียงนามธรรม แต่เป็นรูปธรรม อย่างชัดเจนในหลาย ๆ ประเทศ
การศึกษาในประเทศฟิลิปปินส์ถึงผลประโยชน์ของโทรคมนาคม โดยสมาพันธ์โทรคมนาคมโลก (ITU หรือ International Telecommunications Union) ชี้ให้เห็นถึงผลตอบแทนเทียบกับการลงทุนในอัตรากว่า 30 ต่อ 1 ในภาคบริการสาธารณสุข และกว่า 40ต่อ 1 ในภาคเกษตรกรรม
ข้อสรุปในเบื้องต้นของโครงการ Civil Service Computerization Programme ของรัฐบาลสิงคโปร์ นอกจากจะก่อให้เกิดการให้บริการรัฐที่รวดเร็วคล่องตัว และสะดวกสบายแก่ประชาชนแล้ว ยังมีผลตอบแทนโดยตรง จากการลดค่าใช้จ่ายสืบเนื่องจากการใช้บุคลากรในภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในอัตรา 2.71 ต่อ 1 หน่วยการลงทุนต่อปี ทั้งนี้โดยยังไม่รวมถึงผลตอบแทนทางอ้อมอื่น ๆ อีกด้วย
การติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลท้องถิ่นนคร Pusan ในประเทศเกาหลีใต้ ภายใต้เงินกู้จากธนาคารโลก ก็ได้นำไปสู่การเก็บรายได้เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉลี่ยถึงร้อยละ 6 ต่อปี และลดภาระหนี้สินลงกว่ากึ่งหนึ่งในช่วงปี 1986 ถึง 1991 ในทำนองเดียวกัน โครงการเงินกู้โดยธนาคารโลกเพื่อสร้างระบบวิเคราะห์และจัดการด้วยคอมพิวเตอร์ ให้แก่กระทรวงรถไฟแห่งประเทศ
สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้นำไปสู่การเพิ่มผลิตผล การขนถ่ายสินค้า และผู้โดยสารถึงกว่าร้อยละ 10 คิดเป็นมูลค่าจากการลดความจำเป็น ในการลงทุนเพื่อก่อสร้าง ปรับปรุง และขยายบริการ ถึงกว่า 4 ถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงระหว่างปี 1983 ถึง 2000
ในประเทศสหรัฐฯ ผลงานศึกษาวิจัยหลาย ๆ ชิ้น ต่างชี้ถึงผลประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (เช่น CAI/CAL) ในการศึกษาฝึกอบรมว่าโดยเฉลี่ย จะสามารถลดค่าใช้จ่าย (ในประเทศสหรัฐฯ) ถึงกว่าร้อยละ 30 ขณะที่การเรียนรู้จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 โดยใช้เวลาในการศึกษาลดลงถึงร้อยละ 40
ความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในหมู่ประเทศกำลังพัฒนาก็สามารถสรุปได้อย่างเด่นชัด จากผลการวิเคราะห์ของธนาคารโลกในโครงการทั้งสิ้นเกือบ 1,000 โครงการ ในปี 1986, 1989, 1990 และ 1991 โครงการเงินกู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากโทรคมนาคมของธนาคารโลก ได้เพิ่มในอัตราสูงจาก 379 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1986 เป็น890 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1991 หรือสูงเป็นร้อยละ 235 ของปี 1986 เทียบเท่ากับ 6 เท่าของอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ 39 ของเงินกู้ทั้งหมดในช่วงเดียวกัน
โดยสรุป ด้วยบทบาทอันสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในนานาประเทศดังกล่าว การลงทุนใน เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีสัดส่วนสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนด้านอื่น ๆ เป็นต้นว่าในกลุ่มประเทศ OECD การลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีสัดส่วนเหนือการลงทุนของสินค้าทุนด้านอื่น ๆ รวมกันระหว่างปี 1983 ถึง 1990 กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 11 ประเทศดังกล่าวข้างต้นมีอัตราการเพิ่มในการลงทุนด้านนี้ต่อปีในอัตราสูง ตั้งแต่ร้อยละ 10.77 ในประเทศมาเลเซีย ถึงร้อยละ 25.0 ในประเทศไทย
ผลกระทบต่อวัฒนธรรมและสังคม
เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีผลกระทบต่อสังคมมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะเลือกใช้มันอย่างไร ใน โลกปัจจุบันแรงผลักดันทางเศรษฐกิจมักจะมีบทบาทสูง ในการกำหนดทิศทางของเทคโนโลยี เป็นที่ทราบกันดีว่า เทคโนโลยีการสื่อสารทั้งในอดีตและปัจจุบันได้เปลี่ยนโฉมของธุรกิจบันเทิงไปอย่างมาก ในอนาคตธุรกิจ บันเทิงนี้แหละจะเป็นตัวทำเงินให้แก่ผู้ประกอบการทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคม บังเอิญธุรกิจบันเทิงเป็นธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างสูงกับแนวความคิด ความอ่านของผู้คนในสังคม เพราะเป็นวิถีทางหนึ่งที่ผู้ร่วมบันเทิงได้รับอิทธิพลทางความคิดจากผู้อื่นที่ร่วมอยู่ในวงบันเทิง และยอมรับสถานภาพว่า ตนก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นๆ การถ่ายทอดแนวความคิดระหว่างบุคคลในสังคมนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเรียกว่าวัฒนธรรม
ในอดีตก่อนที่จะมีวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ ผู้คนในสังคมที่ต้องการพักผ่อนหย่อนใจ หรือร่วมในวงบันเทิงก็จะร่วมอยู่ในวงการบันเทิงนั้น ๆ โดยตรง แต่ละวงก็จะเป็นวงเล็ก ๆ ผู้แสดงกับผู้ดูจะเห็นหน้ากัน ในบางครั้ง (เช่น ในวงดนตรีหรือวงฟ้อนรำ หรือในงานทำบุญต่างๆ เช่น งานบุญบั้งไฟในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ก็อาจจะแยกไม่ได้ว่าใครเป็นคนแสดง ใครเป็นคนดูหรือคนฟัง ต่อมาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรก ๆ จากเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้เอื้ออำนวยให้ผู้แสดง สามารถแสดงให้ผู้ฟังหรือผู้ดูได้ทีละเป็นจำนวนมาก ๆ ความใกล้ชิดซึ่งเคยมีระหว่างผู้แสดงและผู้ดูก็ค่อย ๆ หายไป อีกประการหนึ่ง ขีดจำกัดสำคัญของเทคโนโลยีการกระจายคลื่นวิทยุโทรทัศน์ในอดีต ก็คือ ในแต่ละท้องที่จะมีช่องโทรทัศน์ให้ดูได้ไม่กี่ช่อง เพราะฉะนั้นแต่ละสถานีส่ง ที่ได้สิทธิพิเศษก็จะมีโอกาสป้อนตลาดที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก และเมื่อป้อนได้มากก็จะพยายามจัดรายการให้เป็นที่พอใจแก่คนจำนวนมากพร้อม ๆ กัน ผลที่ตามมาก็คือ วิทยุโทรทัศน์ได้สร้างธุรกิจบันเทิงที่หวังพึ่งตลาดมวลชนที่ใหญ่และมีความสำคัญมาก ความหลากหลายที่เคยเกิดจากกิจกรรมบันเทิงแบบพื้นบ้านจึงค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไป ซึ่งก็เป็นการสูญเสียอย่างหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นบ้านก็ได้ค่อย ๆ หมดความสำคัญตามไปด้วย และถูกทดแทนด้วย ผลิตภัณฑ์จากธุรกิจการบันเทิง กล่าวอีกนัยหนึ่ง การละเล่นหรือการแสดงในพื้นบ้าน ได้ถูกทดแทนด้วยการแสดงเชิงพาณิชย์ จะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ธุรกิจบันเทิง ที่อาศัยวิทยุโทรทัศน์เป็นสื่อมิได้มีอิทธิพลสูงมากต่อความคิดความอ่าน และต่อวัฒนธรรมของผู้คนที่ได้มีโอกาสดูอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
แต่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในระยะต่อไปนั้น จะเปิดโอกาสให้มีการสื่อข่าวสารจากจุดต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมมากดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่คาดกันไว้ว่า จะมีผลกระทบต่อวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง เราอาจจะได้ความหลากหลายกลับคืนมา แต่ความหลากหลายนี้คงจะมีลักษณะแตกต่างจากที่เคยมีอยู่เดิมอย่างแน่นอน
ประเทศไทยกับการก้าวสู่สังคมสารสนเทศ
ในปัจจุบันประเทศไทยได้ตระหนักถึงศักยภาพอันมหาศาลของเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังจะเห็นได้ว่ามี การพัฒนาเครือข่ายและบริการโทรคมนาคมอย่างจริงจัง ซึ่งเปรียบเสมือนทางหลวงสำหรับการขนถ่ายแลกเปลี่ยนสารสนเทศ อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะขาดแคลนหรือล้าสมัยมิได้ โครงการหลาย ๆ โครงการที่มีมูลค่ารวมกัน เป็นแสนๆ ล้านบาท จึงได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นในที่สุด อาทิ โครงการขยายเครือข่ายโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย โครงการดาวเทียมสื่อสารไทยคมดวงที่ 1 และ 2 โครงการเครือข่ายบริการร่วมระบบดิจิตอล (ISDN) โครงการเส้นใยแก้วนำแสงตามทางรถไฟทั่วประเทศ โครงการเส้นใยแก้วนำแสงใต้น้ำหลายโครงการ ที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศอาเซียน เชื่อมโยงกับฮ่องกงผ่านเวียดนาม และเชื่อมโยงกับประเทศยุโรปผ่านประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น รวมถึงการเปิดโอกาส ให้ภาคเอกชนมีส่วนในการพัฒนาในบางโครงการดังกล่าว และการให้สัมปทานแก่เอกชนในการให้บริการมูลค่าเพิ่ม (value-added services) อาทิ บริการวิทยุติดตามตัว บริการโทรศัพท์มือถือ (cellular telephones) บริการเครือข่ายข้อมูลคอมพิวเตอร์ (data communications) และบริการ Cable-TV ฯลฯ อีกทั้งกระทรวงคมนาคมยังมีแผนที่จะขยายเครือข่ายโทรศัพท์อีก 6 ล้านเลขหมาย รวมถึงการติดตั้งโทรศัพท์สาธารณะให้ครบทั่วทุกหมู่บ้านภายในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 อีกด้วย
แม้ว่าประเทศไทยมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาในด้านนี้อย่างชัดเจน อย่างน้อยในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และบริการโทรคมนาคม หากแต่ผลประโยชน์ที่ตามมา จะมากน้อยเพียงไร และการก้าวสู่สังคมสารสนเทศจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร ยังเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชัดเจนนักในปัจจุบัน ดังตัวอย่างที่ว่าในปัจจุบันเพียงไม่ถึง 2,000 ตำบล จากทั้งสิ้น 5,300กว่าตำบลเท่านั้นที่มีโทรศัพท์สาธารณะใช้ ที่เหลืออีกกว่า 3,000 ตำบล และอีกกว่า 50,000หมู่บ้าน จะต้องทยอยรอกันถึงปี พ.ศ. 2544 เป็นอย่างเร็ว จึงจะมีโทรศัพท์ประจำหมู่บ้านใช้อย่างถ้วนหน้า หากเปรียบเทียบเกาหลีใต้แล้ว กว่า 24,000 หมู่บ้านทั่วประเทศที่มีผู้อาศัยกว่า10 ครัวเรือน ต่างมีโทรศัพท์ใช้แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา
เนื่องจากในปัจจุบันมีความขาดแคลนอย่างมากทางเครือข่ายโทรคมนาคมขั้นพื้นฐาน (เช่น โทรศัพท์) ใน นานาประเทศทั่วโลก ดังเช่นในประเทศไทยที่มีผู้ยื่นขอคู่สาย โทรศัพท์เกือบ 2ล้านเลขหมายในนครหลวงและหัวเมืองใหญ่ ๆ ขณะที่โทรศัพท์สาธารณะชุมชนยังครอบคลุมได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของพื้นที่ทั่วประเทศเท่านั้น ดังนั้น แนวความคิดที่ว่าบริการโทรคมนาคมเปิดเสรีมิได้ แต่เป็นกิจกรรมที่จำเป็นต้องให้สิทธิผูกขาดตามธรรมชาติ (natural monopoly) เช่นเดียวกับสาธารณูปโภคอื่น ๆ อาทิ ไฟฟ้า และประปา เพื่อที่ผู้ให้บริการจะสามารถสนองความต้องการของประชาชนผู้ใช้ ได้อย่างเท่าเทียมทั่วถึงและเป็นธรรม (universal services) จึงน่าจะเป็นความคิดที่ไม่ค่อยถูกต้อง
กระแสการปฏิรูปไม่ว่าจะเป็นการแปรสถานภาพของรัฐวิสาหกิจโทรคมนาคมไปสู่บริษัทมหาชน การเปิด ตลาดเสรี ในบริการโทรคมนาคมบางชนิด จนถึงการเปิดเสรีเต็มที่ (market liberalization) ที่รวมทั้งบริการและเครือข่ายทุกชนิด ได้เริ่มมีการยอมรับและนำไปปฏิบัติมากขึ้นในหลายประเทศ อาทิเช่น อาร์เจนตินา เม็กซิโก เวเนซุเอลา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ฯลฯ กรณีของประเทศเล็กมากอย่างนิวซีแลนด์ที่มีความสำเร็จสูงในการเปิดตลาดเสรีอย่างเต็มรูปแบบที่สุด เป็นกรณีศึกษาอย่างดี
ประเทศไทยมีแนวความคิดแก้ไขปัญหาบางส่วนด้วยรูปแบบของ BTO (build-transfer-operate) โดยการให้สัมปทานติดตั้งโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมายแก่บริษัทเอกชน 2 ราย แต่นั่นเป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาการขาดแคลนเฉพาะหน้าเท่านั้น ยังไม่ได้มีการปรับโครงสร้างของธุรกิจโทรคมนาคมอย่างแท้จริง แม้ว่าเอกชนจะได้รับ สัมปทานไปก็จริง แต่ตามกฎหมายแล้วรัฐบาลก็ยังมีอำนาจผูกขาดในธุรกิจนี้อยู่
ประเด็นนโยบายที่ค้างคารอการตัดสินใจของรัฐที่จะยื่นมือเข้ามาจัดการในอนาคต จึงยังมีมากมายหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องแนวทางการเปิดตลาดเสรี ของบริการโทรคมนาคม การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย จนถึงองค์การสื่อสารมวลชน แห่งประเทศไทย การแยกอำนาจหน้าที่การควบคุมและกำกับ (regulation) ออกจากหน้าที่การให้บริการ (operation) อำนาจหน้าที่การบริหารความถี่วิทยุ และท้ายสุด การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้ประเทศรักษาสถานภาพเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในสังคมโลก เป็นประเทศเปิดที่สามารถ จะแข่งขันกับประเทศอื่นได้ เป็นศูนย์กลางในหลาย ๆ ด้านตามเจตนารมณ์ของแผนพัฒนาประเทศ
และหากประชาชนต้องการสังคมเปิดที่สามารถจะรับรู้ข่าวสารอย่างทั่วหน้าแล้ว เราคงจะปฏิเสธทางเลือก ใหม่ที่จะเป็นสังคมสารสนเทศมิได้ เพียงแต่ว่าเราจะเลือกเดินไปใน อนาคตอย่างไร เร็วหรือช้า ด้วยราคาที่เทียบกับผลประโยชน์แบบไหน และท้ายสุด สังคมพร้อมที่จะยอมรับในการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ การตอบคำถามเหล่านี้ จึงขึ้นกับโจทย์ที่ว่า “คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นหรือไม่ในสังคมสารสนเทศ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สังคมสารสนเทศ: คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหรือเลวลง?
ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอัตราสูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยไม่มีทีท่าจะลดลงหรือหยุดยั้ง และกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของสังคมในหลายด้าน อาทิ ความก้าวหน้าจากพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กและถูกลง ทั้งยังทำงานได้รวดเร็วและมีขีดความสามารถในการประมวลผลที่สูงขึ้น เมื่อผสานกับความก้าวหน้า ทางการสื่อสาร ทั้งทางระบบสายและไร้สาย จะส่งผลให้สามารถแลกเปลี่ยนสารสนเทศในทุกรูปแบบได้ทั่ว ถึงทุกแห่งหนของโลก และในทุกเวลาที่ประสงค์ เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีศักยภาพอันใหญ่หลวงในการปรับปรุงเพิ่มแต่งสีสัน และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อสังคมแห่งยุคสารสนเทศได้อย่างมหาศาล
หากลองพิจารณาภาพอนาคตในประมาณ 20 ปีข้างหน้า ณ เมืองใด ๆ ของประเทศไทย ..................
ถนนหนทางจะบางเบาด้วยรถราที่ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกขนถ่ายสินค้าและอาหาร ขณะที่ผู้คนกำลัง ขะมักเขม้นกับชีวิตประจำวัน ณ ที่ทำงานหรือบ้าน มากกว่าการติดขัดในรถส่วนตัวหรือรถโดยสารบนท้องถนน กล่าวคือ เครือข่ายคมนาคมทางบก น้ำ และอากาศ ได้ลดความสำคัญและค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยเครือข่ายเส้นใยแก้ว นำแสง และดาวเทียมในอวกาศ หรือ “Information Superhighway” ที่ทำหน้าที่เป็นทางหลวงในการเชื่อมโยงมนุษย์ แทนพาหนะ รถ เรือ และเครื่องบิน
หลังอาหารเช้า เราสามารถจะรับฟังข่าวสารด้วยระบบ DBS (Direct Broadcast Satellite) ผ่านดาวเทียม “ไทยคมลูกที่ 4 หรือ 5” ด้วยจานรับขนาดจิ๋วบนจอภาพทีวี ความคมชัดสูง หรืออ่านหนังสือพิมพ์ส่วนตัว (personalized electronic newspaper) บนจอภาพ และหากต้องการhard copy ก็จะใช้เครื่องพิมพ์ Laser ความเร็วสูงตามแต่จะประสงค์
หันมาเรื่องการปฏิบัติหน้าที่การงานไม่ว่าจะประกอบการ ณ ที่ทำงานหรือที่บ้าน (teleworking or telecommuting) เราสามารถจะสั่งด้วยวาจาด้วยเทคโนโลยี voice recognitionแทนแป้นพิมพ์ ให้คอมพิวเตอร์ค้นและแสดงเอกสารที่ต้องการผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เราสามารถจะอ่านและโต้ตอบจดหมายผ่านระบบ E-mail หรือพูดคุยกับลูกค้าผ่าน videophoneแม้กระทั่งร่วมการประชุมกันหลายๆ ฝ่ายได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องเดินทาง ด้วยบริการ video-conferencing หรือการประชุมทางไกล
ก่อนถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงหรือเย็น เราสามารถจะเรียกเมนูของร้านอาหาร แล้วเลือกสั่งอาหารจานโปรด หรือสั่งจ่ายตลาดและสินค้าอุปโภคและบริโภคอื่น ๆ ที่จำเป็นผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม พร้อมกับการตัดบัญชีจากธนาคารโดยตรง รวมถึงการจ่ายค่าน้ำ ไฟ และค่าโทรคมนาคม ภาษี และค่าบริการอื่น ๆ นั่นคือ สังคมไร้ธนบัตร (cashless society) ได้เกิดขึ้นเกือบทั่วประเทศแล้ว
หันมามองลูกหลานของเราบ้าง หลังเลิกเรียนแล้ว เด็ก ๆ (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เอง) จะสามารถเรียกค้นหนังสือ ตำราจาก “ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์” จากทั่วโลกได้ หรือจะสั่งเกมส์อิเล็กทรอนิกส์ที่โปรดปรานด้วยการตัดบัญชีจากธนาคารโดยตรง ในยามว่างครอบครัวก็สามารถเสาะแสวงหาสาระบันเทิง อาทิ เลือกชมภาพยนตร์ (video-on-demand) คอนเสิร์ต หรือกีฬาสด ๆ จากมุมใดของโลกได้ ฉะนั้น เส้นแบ่งพรมแดนระหว่างท้องถิ่น หรือประเทศกำลังถูกพังทลายลงมากขึ้นทุกวัน
ด้านการเรียนการสอนในทุกระดับจากอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย และในทุกระบบทั้งในและนอกโรงเรียนทั้ง formal, non-formal รวมถึง in-formal ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกชนชั้นที่ต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียน ที่บ้านหรือที่ทำงาน สามารถจะอาศัยการสื่อสารผ่านดาวเทียมไทยคมได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน และอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยี อาทิ ระบบ multimedia, ปัญญาประดิษฐ์ ระบบผู้เชี่ยวชาญ (expert systems)และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น voice recognition และ virtual reality เป็นต้น การเล่าเรียนได้กลายเป็นกิจวัตรตลอดชีวิต ไปเสียแล้ว
ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย เราสามารถรับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลประจำท้องถิ่นที่มีคุณภาพไม่แพ้ในนครหลวง ทั้งนี้ เพราะหากมีความจำเป็น นายแพทย์ผู้ให้การรักษา สามารถติดต่อกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่อยู่ห่างไกลไม่ว่าที่ใดในประเทศ (หรือแม้แต่ในต่างประเทศ) เพื่อร่วมกันวินิจฉัยโรค ศึกษาภาพเอ็กซเรย์ หรือภาพจากการตรวจด้วยคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า Computerized Axial Tomography (CAT Scan) หากเราเกิดต้องเข้าโรงพยาบาลใด ๆ ที่อยู่ต่างถิ่น เช่น ในยามฉุกเฉิน แพทย์จะสามารถเรียกดูข้อมูลจากเวชระเบียนของเรา ได้จากคลังข้อมูลผ่านเครือข่าย หรือ Information Highway อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลกับ เรื่องค่ารักษาพยาบาล ที่ทางโรงพยาบาลสามารถจะเรียกเก็บจากสำนักงานประกันสังคมได้โดยตรง คำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่า “สุขภาพดีถ้วนหน้าในปี ค.ศ. 2000” จึงได้มีความสมบูรณ์แบบขึ้นทั่วประเทศ ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นองค์ประกอบสำคัญตัวหนึ่ง
อนาคตภาพที่ได้บรรยายดังกล่าวมิใช่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้ทุกขณะแม้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพราะเทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเทคโนโลยีวันนี้ แม้ว่าบางตัวจะยังไม่สมบูรณ์แบบ กำลังพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไป
อาทิ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2537 มีการสาธิตเทคโนโลยีการส่งภาพทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซเรย์ ภาพถ่ายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (CT Scans) ภาพการตรวจ ด้วยระบบ MRI (Magnetic Resonance Imaging) และอื่นๆ ข้ามประเทศระหว่างสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบีย ด้วยเทคโนโลยี high-resolution digital imaging ผ่านเครือข่าย โทรศัพท์ระหว่างประเทศที่มีอยู่ในขณะนี้ ต่อหน้านายแพทย์และผู้กำหนดนโยบายระดับสูงของทั้งสองประเทศกว่า 200 คน ภาพ MRI ของเด็กอายุ 10 ขวบจากโรงพยาบาลในกรุงริยาด ปรากฏอย่างชัดเจนภายใน 5 นาที บนจอคอมพิวเตอร์ ต่อหน้าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ณMassachusettes General Hospital ในมลรัฐ Massachusettes สหรัฐอเมริกา วิวัฒนาการนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าการแพทย์ของโลก โดยประเทศต่างๆ สามารถจะมีโอกาสรับ การวินิจฉัยและคำแนะนำรักษาจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในโลกได้ โดยมิจำเป็นต้องให้คนไข้เดินทางข้ามประเทศ ด้วยค่าใช้จ่ายและรักษาพยาบาลในอัตราสูงดังเช่นในปัจจุบัน (บางกอกโพสต์, วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2537 หน้า 17)
ความเป็นไปได้หรือไม่จึงไม่ได้ถูกจำกัดด้วยตัวเทคโนโลยี แต่ด้วยปัจจัยอื่น ๆ เช่น ปัจจัยทางทุนทรัพย์ และเวลา เงื่อนไขทางสังคม ทางทรัพยากรมนุษย์ นโยบาย และแนวทางพัฒนา รวมถึงความมุ่งมั่นทางการเมือง และที่สำคัญที่สุดก็คือ การยอมรับของสังคมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในวิถีชีวิตดังตัวอย่างข้างต้น
อย่างไรก็ตาม “สิ่งใดมีคุณอนันต์ ย่อมมีโทษมหันต์” เทคโนโลยีสารสนเทศก็เช่นกัน
แม้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศที่วิวัฒนาการก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีแนวโน้มและศักยภาพที่จะเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เช่น จากพัฒนาการทำงานทางไกล (tele-working)การธนาคารทางไกล (tele-banking) การจับจ่ายทางไกล (tele-shopping) การรักษาพยาบาลทางไกล (tele-healthcare) การบันเทิงทางไกล (tele-entertainment) หรือการศึกษาทางไกล (tele-education) ให้แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะพำนักอาศัยอยู่ในที่ใดบนโลก แต่ในขณะเดียวกัน หากพัฒนาและนำเทคโนโลยี ไปใช้อย่างไม่รอบคอบแล้ว ก็มีผลกระทบที่จะลดคุณภาพชีวิตให้เลวลงก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีลักษณะที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยข้อเท็จจริง ที่เสมือนจะแย้งกันเอง (paradoxical) เป็นต้นว่า
ในขณะที่ความสะดวก รวดเร็ว ด้วยเครือข่ายกว้างไกล และในอัตราค่าบริการที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง การรับข้อมูลสารสนเทศที่จะเพิ่มความรอบรู้และทักษะแก่มนุษย์เราได้นั้น ก็สามารถนำไปสู่ภาวะข้อมูลท่วมท้น (information overload) ได้เช่นกัน
ขณะที่บริการวิทยุโทรทัศน์ Direct Broadcast Satellite ผ่านดาวเทียมต่าง ๆ ในโลก สามารถจะเพิ่มความรู้ ความเข้าใจในวัฒนธรรมของชาติอื่นๆ แต่ในทางตรงข้าม ประเทศที่อ่อนแอกว่ามหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น ประเทศไทยเราก็มีโอกาสสูงที่จะถูกคุกคามหรือครอบงำด้วยวัฒนธรรมอื่น จนกระทั่งสูญเสียวัฒนธรรมของไทยเราเองได้ในที่สุด
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างกว้างขวางที่นำไปสู่การทำงานหรือรับบริการรูปแบบต่าง ๆ จากบ้านได้ ทำให้เรามีเวลาแก่ครอบครัวและตัวเองมากขึ้น อีกทั้งเป็นสื่อ ช่วยการขยายสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้ แต่สิ่งนี้ก็สามารถนำไปสู่การขาดทักษะทางมนุษยสัมพันธ์ที่ดี หรือเกิดภาวะความรู้สึกโดดเดี่ยวจากสังคมได้ (lack of face-to-face social skills และ feeling of isolation)
การที่เทคโนโลยีสารสนเทศเปิดโอกาสให้เราสามารถจะศึกษาหาความรู้ได้อย่างที่ต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก็มีแนวโน้มจะนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และกลายเป็น ความจำเป็นมากกว่าด้วยใจรัก ที่ต่างต้องขวนขวายศึกษาตลอดชีวิตอย่างไม่รู้จบ
อาชญากรรมในรูปแบบใหม่ก็จะเพิ่มขึ้นมากมาย โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้ เช่น การปล้นธนาคารทางคอมพิวเตอร์ การปั่นหุ้น การขโมย และปลอมแปลงข้อมูล ฯลฯ ดังที่เป็นข่าวในต่างประเทศ และที่เริ่มเป็นปัญหาในประเทศไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้
และที่สำคัญที่สุดคือ ขีดความสามารถของระบบคอมพิวเตอร์และ/หรือข่ายโทรคมนาคมสามารถจะตกเป็น เครื่องมือคุกคามสิทธิส่วนบุคคลประการหนึ่ง และในอีกประการหนึ่ง แทนที่จะเป็นปัจจัยที่สามารถลดช่องว่างและ โอกาสระหว่างคนมั่งมีและคนยากจน ระหว่างคนเมืองและชนบท หรือแม้แต่ระหว่าง ประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนา หากปราศจากนโยบายและแนวทางพัฒนาที่เหมาะสม อาจกลายเป็นสิ่งเพิ่มช่องว่างดังกล่าวให้กว้างขึ้นอีกมาก
บทสรุปและคำถามทางนโยบาย
หนึ่ง ภายใต้สภาวะของการเปลี่ยนแปลงของโลกภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ทุกๆ ประเทศและทุกๆ สังคม ไม่ว่ามั่งมีหรือยากจน กำลังย่างก้าวสู่สังคมสารสนเทศ ด้วยกันทั้งสิ้น ต่างกันเพียงแต่จะเร็วหรือช้ากว่ากันเท่านั้น บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเพิ่มเป็นเงาตามตัว ในฐานะปัจจัยหลักปัจจัยหนึ่งต่อการพัฒนาสังคมและ เศรษฐกิจโลก การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มผลผลิตในเชิงเศรษฐศาสตร์ ด้วยการยกระดับผลิตภาพและประสิทธิภาพของการผลิต และการยกระดับ คุณภาพของสินค้าและบริการที่สังคมจะได้ ทั้งในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และภาครัฐแล้ว เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถทำให้เกิดสินค้าและบริการชนิดใหม่ ๆ ขึ้นอย่างมากมาย สามารถสร้างศักยภาพใหม่ในการจ้างงานและเพิ่มสีสันและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อสังคมในวงกว้างได้อย่างแน่นอนในอนาคต
สอง แต่การใช้เทคโนโลยีนี้โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจและความระมัดระวัง หรือยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมส่วนใหญ่ จะส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และนำไปสู่คุณภาพชีวิตในทางลบได้ โดยเฉพาะจากธรรมชาติหรือศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เต็มไปด้วยข้อเท็จจริงที่เสมือนจะแย้งกันเอง นโยบายในการจัดการ กับเทคโนโลยีนี้ จึงมีความสำคัญเป็นทวีคูณต่อทางเลือกที่จะนำไปสู่การเพิ่มคุณและลดโทษต่าง ๆ อันจะพึงมีได้
สาม ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในอัตราสูงสุดในประวัติศาสตร์โลก ที่ยังดูเสมือนไม่หยุดหย่อน แต่กลับทวีความรุนแรงขึ้น นโยบายด้านเทคโนโลยี สารสนเทศจึงเต็มไปด้วยความซับซ้อน ยากลำบาก และสามารถที่จะ “ล้าสมัย” ได้โดยง่าย การกำหนดนโยบายจึงมีความจำเป็นยิ่ง ที่จะต้องเป็นรูปแบบที่มีความคล่องตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายและกฎหมายบริการโทรคมนาคมที่ยังรอการตัดสินใจในขณะนี้ จักต้องมีลักษณะคล่องตัวต่อการแก้ไขในอนาคต อีกทั้งผู้ที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายจักต้องติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในโลกอย่างใกล้ชิดที่สุด
สี่ ท้ายสุดนี้ ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ในการก้าวสู่สังคมสารสนเทศอย่างไร เราเตรียมพร้อมในการพัฒนาสมรรถภาพทางเทคโนโลยีและการจัดการเพียงไร เพื่อจะมิต้องตกเป็นทาสทางเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมากยิ่ง ๆ ขึ้น เราได้ฉกฉวยโอกาสในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศ เช่น การขยายเครือข่ายโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์ในการสร้างสมรรถนะทางเทคโนโลยีของประเทศหรือไม่ เราได้มีการเร่งรัดพัฒนาบุคลากรด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับ การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสารสนเทศหรือยัง ระบบราชการและการปกครองจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร ประชาชนได้รับการศึกษาและความรู้เพียงพอหรือไม่ ในการก้าวสู่ยุคใหม่นี้ เหล่านี้คือคำถามทางนโยบายและการปฏิบัติที่ยังรอคำตอบอยู่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)